5 YEARS — 10 COLLECTIONS
แบรนด์ MAYA WONG เกิดขึ้น เพราะตอนนั้นเรารู้สึกว่ายังไม่มีแบรนด์ไหนที่ตรงกับสไตล์ของเรา จึงเกิดไอเดียที่อยากจะสร้างแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเอง
ความต้องการแรกเลยคือ อยากนำเสนอแฟชั่นที่สะท้อนตัวตนของเราให้กับคนรุ่นใหม่ และลูกค้าที่กำลังมองหาสไตล์ใหม่ ๆ ซึ่งการเริ่มทำแบรนด์ของตัวเองนี้ เรารู้สึกว่าทำงานได้คล่องตัวกว่า ก็เลยเริ่มต้นทันทีหลังเรียนจบ
หลายคนเคยบอกกับเราว่า “ควรไปทำงานกับที่อื่นก่อน เพื่อเรียนรู้งานและเก็บเกี่ยวประสบการณ์” แต่ด้วยไฟในตัวเราตอนนั้นบอกกับเราว่าให้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองดีกว่า
นับจากวันนั้นที่ MAYA WONG เริ่มจากศูนย์ ตอนนี้ได้เข้าสู่ปีที่ 5 และมีทั้งหมด 10 Collection แล้ว ที่มาของชื่อแบรนด์เดาไม่ยาก — มายา ว่องวุฒิญาณ (ชื่อจริง) ด้วยความที่เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ก็เลยใช้ชื่อกับแซ่ของเราไปเลยดีกว่า เป็น MAYA WONG มันก็มีความแคชชี่ดี และจำง่ายด้วย
MAYA WONG
“ตัวแบรนด์ก็คือตัวเราเอง สิ่งที่แบรนด์สื่อออกมา มันสะท้อนมาจากสิ่งที่เราเจอ ทั้งการใช้ชีวิต ความชอบ แม้กระทั่งความรัก เราจึงเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของชีวิตออกมา ผ่านแบรนด์ MAYA WONG”
เสื้อผ้า…ไม่จำเป็นว่าจะต้องพูดเรื่องราวและเล่าออกมาทีละเรื่องใน Collection เดียว บางคนอาจจะเล่าคอนเซ็ปต์แค่เรื่องเดียวหรือสองเรื่อง เพื่อให้งานมันคุมโทน ให้เป็นไปในทางเดียวกัน แต่สำหรับอาท อาทคิดในมุมที่ต่างออกไป
“ทำไมเราต้องเล่าแค่เรื่องเดียวล่ะ!? เราเล่าทีเดียว 10 เรื่องไม่ได้หรอ”
ด้วยความที่เป็นคนชอบคิดหลาย ๆ เรื่องในหัวพร้อมกัน และชอบสังเกตตลอดเวลา เราจึงไม่ได้อยากทำงานที่บอกเพียงสิ่งใดสิ่งเดียว ในแต่ละ Collection จะอิงจากเรื่องราวที่เจอมาหรือสนใจในตอนนั้น ซึ่งจะเล่าถึงเรื่องหลายเรื่องผสม ๆ กัน เสื้อผ้าที่ออกมาจึงไม่ได้มีคำจำกัดความที่เฉพาะเจาะจง
ด้วยความที่เป็นคนอยู่ไม่นิ่ง เจอนู่นเจอนี่ก็อยากจะนำมาใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ ให้กับตัวเองและคนที่สวมใส่เสื้อผ้าของเรา โดยจะเห็นได้จากเสื้อผ้าที่มีการนำเสนอไอเดียใหม่ ๆ ของแบรนด์ผ่านมุมมองของเรา ในทุก ๆ Collection ซึ่งก็หมายถึงตัวเอง ที่สนุกกับทุกอย่างที่เจอ อยากลองสิ่งใหม่ ๆ แต่ก็ไม่ทิ้งลายเซ็นของ MAYA WONG
MAYA WONG ไม่มีข้อจำกัด เราทำเสื้อผ้าออกมาตามความคิดของเราโดยไม่มีกรอบ เช่น ตอนนี้สนใจการเมือง เราก็อยากที่จะทำเสื้อผ้าที่สื่อถึงเรื่องนั้น ๆ โดยมองว่าเสื้อผ้าของเรา น่าจะเล่าเรื่องอะไรได้มากกว่าแค่แฟชั่น
“เพราะเรากล้าที่จะพูดมั้ง”
การที่เราออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่เป็นประเด็นอยู่ตอนนี้ เพราะเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ควรพูด ซึ่งเราได้เริ่มที่ตัวเราเองและสื่อออกมาผ่านเสื้อผ้าด้วย อย่างที่เราบอกไป การตั้งใจจะใช้ชื่อของเราเป็นชื่อแบรนด์นั้นมันก็สื่อถึงตัวตนของเราอยู่แล้ว
“เราชอบคนที่กล้าพูด คิดยังไงก็พูดออกมา เพราะบางคนไม่กล้าที่จะแสดงความรู้สึกของเขาออกมาจริง ๆ ซึ่งอาจจะคิดว่าเป็นมารยาท แต่เราคิดว่าการพูดความจริง มันไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายเลย แถมยังแสดงถึงความจริงใจด้วย”
ZERO WASTE
สืบเนื่องจากตอนที่กักตัวโควิด เราก็พยายามที่จะใช้ของที่เรามีอยู่ในสตูดิโอ เลยคิดสนุกอยากใช้สิ่งที่เรามีตรงหน้าอย่างจำกัด ในการออกแบบ สินค้า Exclusive แต่ละชิ้นจะเป็นการตัดต่อผ้าหลากหลายชนิดที่มีอยู่ เพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรือเรียกได้ว่า ZERO WASTE สังเกตได้จากเสื้อ MIXED STRIPE TANK TOP และ STRIPED VEST เราก็เอาผ้าที่มีอยู่น้อยนิดนั้นมาทำเป็นกระเป๋าเสื้อดีไซน์ของเรา
– เพราะลายเซ็นของแบรนด์ Maya Wong มันอยู่ที่ดีไซน์ของเสื้อผ้าอยู่แล้ว ไม่ใช่สีหรือวัสดุ –
ในแต่ละ Collection จะไม่ได้จำกัดว่าต้องใช้สีผ้านี้เท่านั้น ซึ่งสีมันไม่ได้เป็นตัวกำหนดสไตล์ของแบรนด์ ถึงแม้ว่าเราจะกล้าเล่นกับสีมากขึ้นแค่ไหน แต่ด้วยดีไซน์ของ MAYA WONG ไม่ว่าจะใช้สีหรือวัสดุอะไร คนจะดูรู้ว่ามันก็ยังเป็น MAYA WONG อยู่ดี อย่างเช่นเสื้อตัวสีเขียวที่เป็น Exclusive ให้กับ The Continuum
“จริง ๆ เราไม่ได้ชอบไปปาร์ตี้นะ เราชอบไปเจอคน”
ด้วยความที่เป็นคนพูดเยอะ ชอบคุยกับคนและสังเกตคน เวลาคุยกับคน มักจะคิดอะไรออกเสมอ บางทีก็ได้แรงบันดาลใจในการทำเสื้อผ้า ส่วนใหญ่แรงบันดาลใจที่ได้ในการพบเจอสิ่งต่างๆ จะเกิดจากการตั้งคำถามซะมากกว่า ทำไมต้องเป็นแบบนี้? / ลองทำแบบนี้ดูไหม? / แบบนี้มันสวยดีว่ะ!
สื่อหรือนิตยสาร มีอิทธิพลต่อการทำแบรนด์ไหม
สื่อมีผลกับแบรนด์เป็นอย่างมาก เพราะสื่อคือเป็นผู้นำเสนอเรื่องราว เป็นเหมือนพื้นที่ให้ตัวศิลปินได้เล่าเรื่องตัวเองและผลงาน บ่อยครั้งที่คนสนใจตัวบุคคลมากกว่าผลงาน โดยที่ไม่ได้รู้ถึงแนวคิดในการออกแบบของศิลปินเลย ซึ่งสื่อจะทำให้คนทั่วไปได้หันมาสนใจลงลึกไปถึงที่มาที่ไปของผลงาน ทำให้เขาเกิดความตระหนักและรักในผลงานของศิลปินมากขึ้น
วงการแฟชั่น ก็เป็นส่วนหนึ่งของวงการบันเทิง (วงการมายา)
ช่วงหลังจะเห็นว่าดีไซเนอร์ไม่ได้ขายแค่ตัวแบรนด์หรือตัวเสื้อผ้าอย่างเดียวแล้ว การเป็นดีไซน์เนอร์ตอนนี้ก็เหมือนเป็น Influencer ไปในตัว ถ้าเราสังเกตจากดีไซเนอร์ต่างประเทศ แต่ละคนมีฐานแฟนคลับของตัวเอง บางคนมี Follower เป็นล้านก็ยังมี เพราะทุกวันนี้คนเราอาจจะไม่ได้อยากซื้อแค่ของ แต่เราสนใจไปถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนอื่น ๆ บนโลกอินเทอร์เน็ต
ทุกอย่างที่สื่อออกไปทั้งภาพของแบรนด์หรือภาพของเจ้าของแบรนด์เอง มันก็คือตัวเรานั่นแหละ
When the light appears, I’m black;
When I stand among the crowd, I’m red;
When the world is on fire, I’m blue
เมื่อแสงปรากฏขึ้น ฉัน คือ สีดํา
เมื่อฉันยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน ฉัน คือ สีแดง
เมื่อโลกลุกเป็นไฟ ฉัน คือ สีน้ำเงิน