ทำไมต้อง Gal & Erie
แบรนด์ Gal & Erie เกิดจากการที่เราเอาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางสิ่งสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งมันทำให้การใช้ชีวิตไม่น่าเบื่อ จึงสร้าง Collection เสื้อผ้าและ Accessories ที่มีแรงบันดาลใจมาจากความสวยงามใกล้ตัว เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงงานศิลปะชิ้นนี้ได้มากที่สุด
Gal & Erie ไม่ได้มองตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่จะเป็น Store ที่จะขายของเพื่อหวังเอากำไรเพียงอย่างเดียว เพราะแบรนด์ไม่ใช่งานหลักแต่เป็นงานเสริม ซึ่งถ้าจะหวังว่าทำแบรนด์เพื่อหวังกำไร “เลิกคิดไปได้เลย 55555”
ด้วยความที่ Set รูปแบบของแบรนด์เป็น Low volume production แบบนี้ ก็รู้สึก Enjoy และกล้าเสี่ยงที่จะทำอะไรสนุกๆ ในทุก Collection เพราะทุกขั้นตอนคือการสร้างงานศิลปะลงบนสิ่งของที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวัน นั่นก็คือ เสื้อผ้า
“ขายไม่ได้ไม่ว่ากัน แต่ฉันพอใจคือ โอเค”
เมื่อโฟกัสว่า Gal & Erie ไม่ใช่ร้านขายของเพื่อสร้างกำไร แต่เป็นสิ่งที่สร้างผลงานตามใจฉัน จึงอยากให้ชื่อแบรนด์มี Vibe ของคำว่า Gallery ซึ่งก็ไหลตามน้ำมาเรื่อยๆ จนเป็นคำว่า Galerie (ในภาษาผรั่งเศส) บวกกับความคิดส่วนตัวที่มองว่าการ Shopping จะต้อง Involve คนอื่นเข้ามาด้วย เพื่อความสบายใจ – ขยายความเพิ่มแบบนี้ดีกว่าค่ะ –
การ Shopping ของเรา เราจะอ้างอิงจากสิ่งที่เราเป็น คือทุกการ Shopping เราจะชอบถามเพื่อนว่าแบบนี้ดีไหม? หรือการถามความคิดเพื่อนว่าเป็นยังไง ? หรือแม้กระทั่งการเลือกซื้อของก็จะต้องถามพนักงาน จึงคิดว่ามันจะต้องเป็นชื่อของคน 2 คน ก็เลยจำคำว่า “Galerie” แบ่งครึ่งไปเลย ดังนั้นจะได้คำว่า Gal & Erie
ซึ่งความไม่เข้ากันมันจะคือความเข้ากัน เพราะมันคือความหมายที่ไม่ต้องการแต่งอะไรเพิ่มเติม แล้วพอแบ่งแบบนี้ก็บังเอิญได้ Vibe ของความเป็น Feminine จากคำว่า Gal มาด้วย ด้วยเหตุนี้ จึงได้ชื่อของงานศิลปะชิ้นนี้อย่างลงตัว
เพราะฉันคือ Gal & Erie
Gal & Erie ถ้าให้พูดง่ายๆ คือแบรนด์เสื้อผ้านั่นแหละ แต่ทำในรูปแบบของการ “ตามใจฉัน 555555”
เราไม่สนว่าตลาดตอนนี้เป็นอย่างไร ตอนนี้ฮิตอะไรอยู่ หรือใครขายสิ่งนี้ราคาเท่าไหร่ เราค่อนข้างทำตามจังหวะชีวิตตัวเอง เลยคิดว่าถ้ามองเข้ามาแบบผิวเผินก็จะเป็นแบรนด์เสื้อผ้าแบบทั่วไป ออก Collection อย่างไม่สม่ำเสมอ แต่สำหรับเรา เรามองว่ามันคือแบรนด์เสื้อผ้าที่สะท้อนจังหวะชีวิตของตัวเรา
จังหวะชีวิตของเราไม่มีวันจะเป็นเส้นตรง ขนาดเพลงยังมีจังหวะหนัก-เบาไม่เท่ากัน ชีวิตคนเราก็เหมือนกัน เพราะทุกคนเหนื่อยมาตลอดตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันศุกร์ ดังนั้น Gal & Erie จะเป็นเสื้อผ้าที่ใส่สบายในวันทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็นวันไหนๆ
พิเศษไม่ใส่ไข่ ?!
ด้วยความที่ Gal & Erie ออก Collection แบบไม่สม่ำเสมอ คิดอะไรได้ก็ทำ ทำเสร็จก็ขาย จะออกตอนไหนก็ออก ไม่มีเวลาหรือจำนวนที่ตายตัว ดังนั้นเราเลยมีเวลามากกว่าแบรนด์อื่นๆ ในการสะสมและเลือกหา Material ต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของเนื้อผ้าที่ใช้ในการทำแบรนด์
เราเลยรู้สึกว่ามันเป็นแรงบันดาลใจ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ที่จะจับสิ่งต่าง ๆ มารวมกัน จำได้บ้างไม่ได้บ้าง บางทีก็เริ่มมาจากความรู้สึกหนึ่ง แต่มาจบอีกแบบหนึ่ง แบบที่ไม่ได้ตั้งใจไว้ก็มี อารมณ์แบบวาดภาพในหัวไว้ว่าเป็นท้องฟ้า แต่มาจบที่ทะเล เราก็เลยรู้สึกกับการทำงานในทุก Process แต่ถ้าถามว่ามีแรงบันดาลใจอะไรที่พิเศษไหม “เราก็คิดว่าไม่มีนะ 55555 “
แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม ?
เพราะเป็นคนทำงานคนเดียว ไม่มี Partner ในการทำงาน สิ่งที่ยากที่สุดในการทำแบรนด์ คือการจัดการ Stock เพราะด้วยความที่งานแต่ละชิ้น เราทำตามใจฉันมากๆ เวลามันขายไม่ได้ เราก็ไม่รู้จะทำยังไงให้มันไม่เป็น Waste
และอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ชอบที่สุด คือการไปส่งของให้ลูกค้าแล้วรอคิวนาน ซึ่งเราคิดว่าทุกแบรนด์ก็เป็นเหมือนกัน แต่ก็ทำอะไรไมได้ ก็ต้องรอ 55555
( The Continuum หยอดคำถามไปเล่นๆ แต่ได้คำตอบที่ Real มาก )
แต่สิ่งที่ชอบก็มีอยู่เหมือนกัน ก็คือการเลือกใช้ผ้าสีๆ จำได้ว่าจังหวะชีวิตตอนนั้นอินกับอะไรที่มัน Colorful เรามีความสุขมากที่ได้มองและได้เลือกผ้าที่เป็นสีสันแสบๆ เหมือนได้เห็นโลกกลับมาสดใสอีกครั้ง
หลายครั้งที่เลือกใช้สีสันแบบนี้ใน Collection ของเรา ก็ไม่เคยกลัวนะว่ามันจะดูแก่ หรือคนไม่เข้าใจในงานของเรา เพราะมันคืองานศิลปะ ถ้าจะมีคนไม่เข้าใจก็ไม่ใช่ปัญหาของเรา เพราะทุกงานจะมีคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ ซึ่งเราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
ช่วง…เม้าท์แม่!
จากที่เห็นว่า Gal & Erie เอากระเป๋าถักที่คุณแม่ทำมาขายด้วย เราไม่ได้บังคับให้แม่ทำมาขายหรือว่าอะไรนะ แต่ต้องขายเพราะว่านางถักเยอะเกินจนไม่มีที่เก็บ เหมือนกับแบรนด์ได้ featuring กับศิลปะรุ่นเก๋า แต่เราไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับใคร ก็เลยเอาแม่นี่แหละมาเป็นศิลปินซะเลย
ด้วยความที่ไม่เคยบังคับแม่เลย ทำให้กระเป๋าแต่ละใบที่ออกมา ทำด้วยมือแม่ล้วนๆ ถ้าเป็นอาหารก็คงต้องอร่อยกลมกล่อมมากๆ เพราะแม่ตั้งใจทำมาก อีกอย่างแม่ชอบมากกับการมีส่วนร่วมในการทำแบรนด์นี้ เพราะช่วงไหนที่จะไปซื้อผ้ามาทำ Collection ใหม่แล้วไม่ชวนแม่ เจองอนก็มีด้วยเหมือนกัน 5555
แม่เป็นคนน่ารักสนับสนุนเราตลอด อยากมีส่วนร่วมสุดๆ จริงๆ ก็เป็นแม่ลูกทั่วไปแหละ มีอยู่กัน 2 คนก็จะตีกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็มี Mindset ว่าอะไรที่ทำแล้วมีความสุข ฉันจะลากเธอมาทำด้วยกัน ความสุขของฉัน = ความสุขของเธอ เป็นความสุขของกันและกัน แต่ที่ไม่มีความสุขเลยคือ แม่ไม่เคยจำชื่อแบรนด์ได้เลย
“ ทุกวันนี้อย่างถามแม่นะว่าลูกทำแบรนด์ชื่ออะไร เพราะแม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน 555555 “
และอีกอย่างที่เคยคิดแต่ทำไม่เคยสำเร็จคือการเอาแม่มาเป็นนางแบบให้กับแบรนด์ เพราะว่าแม่เป็นคนที่ใส่เสื้อผ้าของ Gal & Erie แล้วสวยมาก (เสื้อผ้าของเราถ้าคนมีอายุมาใส่ก็จะสวยมากจริงๆ นะ) คืออยากให้เป็น Content น่ารักๆ ที่ลูกทำกับแม่ ใส่เสื้อคู่อะไรแบบนี้ แต่ด้วยความที่แม่ไม่ชอบถ่ายรูป Project นี้ก็เลยต้อง Pause ไปก่อน ถ้าเรากดดันแล้วเดี๋ยวไม่สนุก
ฉันไม่ใช่แบบนั้นนะ
เราคิดว่า Gal & Erie ไม่ได้เป็น Fast Fashion นะ เพราะอย่างที่บอกไปคือตอนนี้เราผลิตสินค้าออกมาน้อยมากๆ และแบบเสื้อผ้าเราก็ไม่ได้มีหลายแบบ เราเป็น Low volume production สุดๆ และก็จะพยายามทำให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ
เพราะเราคิดว่า Fast Fashion มันคือเสื้อผ้าตามกระแส แต่เราไม่ได้ตามกระแส เราตามใจตัวเอง จริงๆ ถ้ามุมมองของการทำลายสิ่งแวดล้อมจากเสื้อผ้า เพราะเกิดจากการผลิต เราก็เห็นว่ามันเป็นปัญหาอยู่ไม่น้อยเลยและที่สำคัญคือน่ากลัวมาก และสมัยนี้เสื้อผ้าออก Collection มาแบบวันเว้นวันเลย แล้วยิ่งเด็กสมัยนี้แต่งตัวกันแบบมั่นใจมากขึ้น กล้าตัดสินใจที่จะแสดงตัวตนผ่านเสื้อผ้ามากขึ้น ทำให้เสื้อผ้าเป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการมาไวไปไวของ Fashion
ทางที่ดีคือซื้อเสื้อผ้าได้นะ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน แบรนด์อะไร ผลิตด้วยเทคโนโลยีอะไร แค่ใช้อย่างมันคุ้มค่าและใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดก็น่าจะช่วงแก้ปัญหาตรงนี้ได้ไม่น้อยเลย
The Continuum
เป็น Platform ที่น่าสนใจมาก เพราะเป็น Vibe ที่ให้ความสำคัญกับการ Present สินค้า เสื้อผ้าของ Gal & Erie ถูกถ่ายทอดผ่าน The Continuum เป็นคนละเรื่องราวกับตอนที่มันอยู่กับเรามาก ซึ่งเราชอบมาก และเขื่อว่าเวลาเสื้อผ้ามันไปอยู่กับคนที่ซื้อไป มันจะเพิ่มเรื่องราวของตัวคนๆ นั้น และเพิ่มจังหวะในการชีวิตได้อย่างสนุกมากขึ้น
Exclusive Items
เสื้อทั้ง 4 ตัวเป็นรุ่นที่เคยขายแล้วหมด Stock เราจึงปัดฝุ่นใหม่ด้วยผ้าใหม่ ที่เป็นผ้าที่เราไม่เคยใช้มาก่อน ซึ่งเป็นผ้าที่เราชอบมากและได้ผ้ามาน้อยมาก เพราะเป็นผ้าจากประเทศอินเดีย กล้าพูดเลยว่าไม่มีที่ไหนเหมือนแน่นอน เราคิดว่าเสื้อทั้ง 4 ตัวนี้เหมาะที่จะขายกับ The Continuum แบบ Exclusive ที่สุดแล้ว
ส่วนกระเป๋าอีก 2 ใบ เป็นไหมที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นและยุโรป บอกเลยว่าต้นทุนสูงมาก แต่แม่ชอบไหมนี้เราก็เลยสั่งมาให้แม่ และแม่ก็ใช้เวลานานมากกว่าจะได้กระเป๋าทั้ง 2 ใบนี้ บอกเลยว่าเป็นสินค้านำเข้าที่ผลิตด้วยแม่ฉันเอง 🙂
ผ้าคอตตอนอินเดีย Hand – Block ถ้าใครเคยใส่จะรู้ว่าเป็นผ้าที่นุ่มสบายมาก และบวกกับลายที่สวยงามมาก เราเลยเลือกที่จะใช้มันกับทรงเสื้อที่เป็นทรงโคร่ง กับทรงที่เป็นที่นิยมใน Gal & Erie เพราะอยากให้คนที่ได้สัมผัส สวมใส่ได้อย่างสบายแบบ Ultimate พอเสื้อมันเป็นโคร่ง บวกกับการจับจีบที่มี Detail มากๆ ก็จะใช้ผ้าเยอะมากแบบสะใจ
กระเป๋าถักใบสีฟ้าความพิเศษของไหมญี่ปุ่นคือเป็นเส้ยใยที่แข็งแรงมาก ใน 1 เส้นจะประกอบไปด้วยเส้นใยเล็กๆ หลายเส้น ที่เมื่อดึงแล้วจะไม่มีทางขาดแน่นอน พอเส้นใบมันเล็กและค่อนข้างแข็ง จะใช้เวลาในการถักนานมาก เอาเป็นว่าคุณแม่ปวดมือกันเลยทีเดียว ว่าจะได้ใบนี้ ใช้เวลาเกือบอาทิตย์ในการถัก คุณแม่ทำไป หยุดไป เพราะเจ็บมือ
ส่วนสี Milk Brown จะเป็นไหม Macrame cord-polyester rope หรือเรียกว่าเชือกเลยก็ได้ เชือกแบบนี้ถักง่ายกว่าเพราะเป็นไหมที่อ่อนนุ่ม ใช้เวลาถักแบบ Non – Stop ถักไปดู Netflix ไป แม่ตามใจลูก ลูกก็ต้องตามใจแม่เหมือนกัน ไม่งั้นเดี๋ยวผิด Concept
เปียโนเสียงเพี้ยน
“ในช่วงที่โควิดพุ่งเข้าใส่หรอ พูดเลยว่า โอ้โหหหหหห”
ตัวเราเปลี่ยนไปมาก คือยุ่งกว่าเดิมร้อยเท่า โลกไม่สดใสอีกต่อไป เสื้อผ้าสีสันคงจะไม่มีไปอีกสักพัก (ล้อเล่น 5555) ชีวิตมีอะไรที่ต้องจัดการเยอะมากจนบางทีก็สะดุดขาตัวเอง
เหมือนเด็กที่หัดเล่นเปียโน ต้องมี Metronome คอยบอกจังหวะตลอดเวลา เพื่อที่จะได้ลงน้ำหนักมือลงบนเปียโนได้ถูกต้องและถูกเวลา แล้วช่วงโควิดอยู่ดีๆ เครื่อง Metronome ก็หายไปซะงั้น ตอนช่วงที่โควิดระบาดหนักๆ ทำให้ Gal & Erie ต้องเลิกเล่นเปียโนไประยะหนึ่งเลย แต่ตอนนี้ก็เริ่มกลับมา Activate มากขึ้น เพราะเราไม่อยากให้สกิลในการเล่นเปียโนของเราหายไป ทำให้พอมีเสียงเพลงให้ชีวิตเราได้มีจังหวะที่สนุกขึ้นอีกครั้ง
เพราะฉันเป็นอมตะ
ช่วงนี้คิดว่าตัวเองเป็นแบบไหนหรอ ? ก็ต้องบอกเลยว่า เป็นอมตะ
คิดแล้วขำ…ทุกครั้งที่เราเจอเรื่องร้ายๆ ไม่ว่าจะอกหักหรือเจอเรื่องอะไรแย่ๆในชีวิต เพื่อนจะชอบให้กำลังใจและบอกว่า “เราเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย” พอพูดทีไรจากที่เศร้าๆ ก็หัวเราะทุกที
เราเป็นคนที่ชอบวางแพลนและสุดท้ายแล้วจัดการทุกอย่างได้ และมันจะผ่านไปได้ด้วยดี เราพยายามคิดแบบนี้ตลอดไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร แบบว่า — มาเถอะ ยังไงกูก็ไม่ตาย —
ยากมากเลยนะ ถ้าโควิดหายไปจะทำอะไรเป็นอย่างแรก? แต่ถ้าที่คิดออก…สิ่งแรกที่อยากทำหลังโควิดหายไป ก็คงเป็นการถอดหน้ากาก แต่งหน้าสวยๆ ต้องรับศักราชใหม่ แล้วไปเดินในที่สาธารณะ 555555